วันอาทิตย์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

TOEFL












ข้อมูลดีๆจาก วิชาการ.คอม (www.vcharkarn.com) เขียนโดย wimma







TOEFL คือ แบบทดสอบความสามารถ ในการใช้ภาษาอังกฤษ ของผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาประจำชาติ โดยที่ จะจัดการสอบเป็นแบบปรนัย เพื่อวัดความเข้าใจ ภาษาอังกฤษ (แบบอเมริกาเหนือ) ปัจจุบันการสอบ TOEFL ได้เปลี่ยนมาใช้การทดสอบแบบ Computer - Based Testing แทนการทดสอบแบบ Paper test โดย เชื่อว่าวิธีนี้ จะสามารถวัดระดับ ความรู้ภาษาอังกฤษของนักเรียน ได้ถูกต้อง ใกล้เคียงความเป็นจริง มากกว่าการสอบแบบเดิม (Paper - Based Test) และไม่เป็นปัญหาอุปสรรค สำหรับผู้สอบ ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ ในการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์มาก่อน เนื่องจาก ETS จะให้ผู้สอบทุกคน ได้ฝึกใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ (Computer - Based Tutorial) ก่อน และ ใช้ CD ROM ทดลองทำก่อนการสอบจริง ซึ่งการทดสอบแบบ Computer - Based Testing จะแบ่งแบบทดสอบออกเป็นสี่ส่วน ซึ่งใช้เวลาประมาณ สามชั่วโมงครึ่งถึงสี่ชั่วโมง โดยแต่ละส่วน จะกำหนดจำนวนคำถาม พร้อมระยะเวลาในการใช้ทำแบบทดสอบไว้ดังนี้


เวลาที่ใช้ในการสอบแต่ละส่วน และจำนวนคำถามการเตรียมตัว (Tutorials) ไม่จำกัดเวลา แต่ทั้งนี้ไม่ควรจะนานมาก เพราะว่า เวลารวมทั้งสิ้นต้องไม่เกิน สี่ชั่วโมง เป็นการฝึกใช้คอมพิวเตอร์ในการสอบ ทางที่ดีควรจะฝึกซ้อมมาก่อน


การฟัง(Listening) ทดสอบทักษะการฟังภาษาอังกฤษแบบอเมริกาเหนือ ใช้เวลา40-60 นาที จำนวน 30-50 ข้อ


ไวยากรณ์ (Structure) 15-20 นาที จำนวน 20-25 ข้อจากนั้นพัก 5 นาที


การอ่าน (Reading) ทดสอบความเข้าใจในการอ่านเรื่องสั้นๆ ใช้เวลา 70-90 นาที จำนวน 44-55 ข้อ


การเขียน (Writing) ทดสอบความสามารถในการเขียนความเรียงในหัวข้อที่กำหนดให้ หนึ่งหัวข้อ ในเวลา 30 นาที ลักษณะคำถาม ส่วนใหญ่แล้วเป็นแบบปรนัย หรือ มีคำตอบให้เลือกตอบ แต่ปัจจุบันมีคำถามลักษณะใหม่ๆ ออกมาค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็น คำถามที่ให้เลือกภาพในการตอบ หรืออาจเป็นคำถามที่มีหลายคำตอบ หรือ ให้เรียงลำดับสิ่งของ หรือ จับคู่ให้เป็นหมวดหมู่


TOEFL คือ แบบทดสอบความสามารถ ในการใช้ภาษาอังกฤษ ของผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ เป็นภาษาประจำชาติ โดยที่ จะจัดการสอบเป็นแบบปรนัย เพื่อวัดความเข้าใจ ภาษาอังกฤษ (แบบอเมริกาเหนือ) ปัจจุบันการสอบ TOEFL ได้เปลี่ยนมาใช้การทดสอบแบบ Computer - Based Testing แทนการทดสอบแบบ Paper test โดย เชื่อว่าวิธีนี้ จะสามารถวัดระดับ ความรู้ภาษาอังกฤษของนักเรียน ได้ถูกต้อง ใกล้เคียงความเป็นจริง มากกว่าการสอบแบบเดิม (Paper - Based Test) และไม่เป็นปัญหาอุปสรรค สำหรับผู้สอบ ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ ในการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์มาก่อน เนื่องจาก ETS จะให้ผู้สอบทุกคน ได้ฝึกใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ (Computer - Based Tutorial) ก่อน และ ใช้ CD ROM ทดลองทำก่อนการสอบจริง ซึ่งการทดสอบแบบ Computer - Based Testing จะแบ่งแบบทดสอบออกเป็นสี่ส่วน ซึ่งใช้เวลาประมาณ สามชั่วโมงครึ่งถึงสี่ชั่วโมง โดยแต่ละส่วน จะกำหนดจำนวนคำถาม พร้อมระยะเวลาในการใช้ทำแบบทดสอบไว้ดังนี้ เวลาที่ใช้ในการสอบแต่ละส่วน และจำนวนคำถามการเตรียมตัว (Tutorials) ไม่จำกัดเวลา แต่ทั้งนี้ไม่ควรจะนานมาก เพราะว่า เวลารวมทั้งสิ้นต้องไม่เกิน สี่ชั่วโมง เป็นการฝึกใช้คอมพิวเตอร์ในการสอบ ทางที่ดีควรจะฝึกซ้อมมาก่อน การฟัง(Listening) ทดสอบทักษะการฟังภาษาอังกฤษแบบอเมริกาเหนือ ใช้เวลา40-60 นาที จำนวน 30-50 ข้อไวยากรณ์ (Structure) 15-20 นาที จำนวน 20-25 ข้อจากนั้นพัก 5 นาทีการอ่าน (Reading) ทดสอบความเข้าใจในการอ่านเรื่องสั้นๆ ใช้เวลา 70-90 นาที จำนวน 44-55 ข้อการเขียน (Writing) ทดสอบความสามารถในการเขียนความเรียงในหัวข้อที่กำหนดให้ หนึ่งหัวข้อ ในเวลา 30 นาที ลักษณะคำถาม ส่วนใหญ่แล้วเป็นแบบปรนัย หรือ มีคำตอบให้เลือกตอบ แต่ปัจจุบันมีคำถามลักษณะใหม่ๆ ออกมาค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็น คำถามที่ให้เลือกภาพในการตอบ หรืออาจเป็นคำถามที่มีหลายคำตอบ หรือ ให้เรียงลำดับสิ่งของ หรือ จับคู่ให้เป็นหมวดหมู่

วันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

การสอนแบบชักชวน

การสอนแบบชักชวน (Suggestopedia)
การสอนแบบชักชวนพัฒนาขึ้นมา โดยนักจิตวิทยาการศึกษาชาวบูลกาเรีย ชื่อ Georgi Lozanov วิธีสอนนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของแนวคิดว่าสมองซีกกขวาของมนุษย์พัฒนาได้ดีจากการใช้เทคนิค "ชักชวน" (suggestion) ดังนั้น suggestopedia จึงเป็นวิธีที่ครูต้องมีทักษะ ในการร้องเพลงแสดงท่าทาง และรู้เทคนิคการบำบัดทางจิตวิทยา (psychotherapeutic techniques) วิธีการสอนจะใช้เทคนิคการออกกำลังกาย เพื่อขจัดความวิตกกังวลที่เป็นเหตุให้สะกัดกั้นการเรียนรู้ของผู้เรียนกิจกรรมต่างๆดังกล่าวประกอบด้วยการใช้ดนตรี รูปภาพ (visual image) บทสนทนาต่าง ๆ ที่ให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมเหล่านี้ภายใต้บรรยากาศที่สบายไม่เป็นทางการไม่มีการแก้ไข ข้อผิดพลาดของผู้เรียน Lozanov ยอมรับแนวคิดโยคะและจิตวิทยาของโซเวียต เขาดัดแปลงวิธีการกำหนดจังหวะการหายใจแบบ raja-yoga และจากกลุ่มนักจิตวิทยาโซเวียต Lozanov นำแนวคิด เรื่องการจัดสิ่งแวดล้อมเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้หลักสำคัญของวิธีสอนแบบนี้คือ การใช้จังหวะและดนตรีเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการจำและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ผู้เรียนอาจนั่งหลับตากำหนดลมหายใจ หรือสร้างจินตนาการผ่อนคลายความตึงเครียดและความวิตกกังวล ในขณะที่ครูเปิดเพลงเบา ๆ Lozanov เชื่อว่าดนตรีสามารถทำให้ผู้เรียนผ่อนคลายได้ (Richards and Theordove. 1995 : 142) กิจกรรมการเรียนที่ suggestopedia เน้นคือกิจกรรมการฟัง ผู้สอนจะใช้ภาษาสนทนา ที่มีคำแปลเป็นภาษาของผู้เรียนรวมทั้งไวยากรณ์และคำศัพท์จากบทสนทนาไว้ด้านหนึ่งด้วย ผู้สอนจะอ่านบทสนทนาให้ผู้เรียนฟัง 3 ครั้ง ในครั้งแรก ผู้เรียนฟังบทสนทนาที่ครูอ่านให้ฟังโดยอ่านคำแปลไปด้วย ในการอ่านครั้งที่สองผู้เรียนอาจดูบทเรียนไปด้วย และจดรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ในการอ่านครั้งที่สามนั้น ผู้อ่านจะเปิดเพลงคลาสสิกไปพร้อม ๆ กัน ผู้เรียนได้รับอนุญาตให้วางหนังสือ และเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ตามสบาย จะหลับตาฟัง หรือจะหยิบบทเรียนขึ้นมาอ่านตามก็ได้ ในขั้นต่อไปอาจให้ผู้เรียนเล่นเกมทางภาษา การเล่นละครสั้น การร้องเพลง การถามตอบเพื่อให้ภาษาในการสื่อสารการจัดกิจกรรมจะทำเป็นกลุ่มผู้เรียนจะไม่ถูกบังคับให้ทำงานเป็นรายบุคคลกิจกรรมทุกกิจกรรมต้องเสริมให้ผู้เรียนเกิดความมั่นใจ และรู้สึกว่าไม่ถูกบังคับให้ทำในระยะเริ่มแรกผู้สอนจะไม่แก้ไขข้อผิดพลาดทันที แต่จะนำสิ่งที่ถูกต้องมาสอนในวันต่อไป
http://wbc.msu.ac.th/wbc/edu/0506714/Unit_1/Unit_1_8.htm

การสอนแบบตรง Direct method

การสอนแบบตรง (direct method)
การสอนแบบตรงเป็นวิธีแรกหลังจากเกิดการปฏิรูปทางด้านการสอนภาษาต่างประเทศเนื่องจากนักภาษาศาสตร์เห็นว่าวิธีสอนแบบไวยากรณ์และแปลมิได้ช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร
ดังนั้นจุดมุ่งหมายของการสอนแบบตรงคือมุ่งให้ผู้เรียนใช้ภาษาเพื่อการติดต่อสื่อสาร บทเรียนส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยกิจกรรมที่เป็นบทสนทนา เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ใช้ภาษาในสถานการณ์ต่าง ๆ
ผู้เรียนจะถูกกระตุ้นให้ใช้ภาษาต่างประเทศที่กำลังเรียนอยู่ตลอดเวลา โดยไม่มีการใช้ภาษาของผู้เรียนเลย เวลาสอนผู้สอนจะพยายามสร้างสภาพแวดล้อมในห้องเรียน ให้เหมือนสภาพแวดล้อมที่ต้องใช้ภาษาต่างประเทศ ผู้สอนจะใช้ภาษาต่างประเทศตลอดเวลา ไม่มีการเน้นสอนไวยากรณ์จะไม่มีการบอกกฎไวยากรณ์อย่างชัดเจน แต่การเรียนรู้ไวยากรณ์จะเรียนรู้อยากตัวอย่างและการใช้ภาษา แล้วสรุปกฎเกณฑ์ ถึงแม้จะมีการฝึกทักษะทั้ง 4 คือ ฟัง-พูด อ่าน เขียน แต่การฝึกทักษะพูดเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดทักษะอ่าน และเขียนจะมีพื้นฐานมาจากการพูดก่อน วิธีสอนแบบนี้เน้นการรู้วัฒนธรรมของเจ้าของภาษา รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับชีวิตประจำวันของผู้พูดภาษา
สรุปลักษณะสำคัญของการสอนแบบตรงดังนี้
- ใช้ภาษาเป้าหมายเท่านั้น
- ผู้เรียนจะถูกฝึกให้ใช้ภาษาเป้าหมายที่เป็นภาษาที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารในชีวิตประจำวัน
- ผู้เรียนถูกกระตุ้นให้คิดเป็นภาษาเป้าหมาย
- ทักษะแรกที่เน้นคือทักษะพูดแล้วจึงพัฒนาทักษะอ่าน
http://wbc.msu.ac.th/wbc/edu/0506714/Unit_1/Unit_1_4.htm